ประวัติ ของ เคลย์ตัน แบล็กมอร์

เคลย์ตัน แบล็กมอร์ เกิดวันที่ 23 กันยายน ค.ศ. 1964 เคยไปคัดตัวเพื่อเข้าร่วมทีมรักบี้ของสโมสรนีท แต่ภายหลังได้เข้าไปอยู่ในศูนย์ฝึกเยาวชนของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ตั้งแต่อายุ 14 ปี และได้เลื่อนขึ้นมาเล่นชุดใหญ่ภายใต้การคุมทีมของรอน แอตกินสันในปี 1984

เส้นทางค้าแข้งในอังกฤษ

หลังจากแบล็กมอร์เล่นให้ทีมชุดใหญ่ไปเพียง 2 นัดเขาก็ถูกเรียกตัวไปเล่นให้ทีมชาติเวลส์ โดยเขาเล่นให้ทีมชาติทั้งหมด 39 นัด และเป็นผู้เล่นที่ได้สวมชุดแข่งของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดมาแล้วทุกหมายเลข ตั้งแต่หมายเลข 2 ถึงหมายเลข 11 (ตามกฎแบบเก่าผู้เล่นที่ลงสนาม 11 คนแรกต้องใส่เสื้อหมายเลข 1-11)

ไฟล์:Blackmoremanu.jpgเคลย์ตัน แบล็กมอร์ในชุดแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

แบล็กมอร์เป็นนักเตะที่เล่นได้หลายตำแหน่งแต่ไม่ค่อยตั้งใจเล่นตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งมากนัก ทำให้เขามีพัฒนาการช้ากว่าที่ควรจะเป็นและส่งผลให้ไม่ค่อยมีตำแหน่งตัวจริงในทีมชุดใหญ่มากนัก อย่างไรก็ตามช่วงเวลาสำคัญของเขากับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดก็มีอยู่บ้างเมื่อเขาเป็นกำลังสำคัญในการพาสโมสรคว้าแชมป์เอฟเอคัพในปี 1990 และปีต่อมาเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของทีมชุดได้แชมป์คัพวินเนอส์คัพ ปี 1991 แชมป์ลีก คัพปี 1992 และฤดูกาล 1992-1993 ในบทบาทตัวสำรองที่ลงสนาม 14 นัด ก็มากพอจะทำให้เขาได้รับเหรียญแชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งแรกของสโมสร

ฤดูกาล 1993-1994 แบล็กมอร์ได้เสื้อหมายเลข 15 แต่เนื่องจากอาการบาดเจ็บทำให้เขาไม่มีโอกาสลงสนามในทีมชุดแรกเลยหลังจบฤดูกาลเขาจึงตัดสินใจย้ายทีม โดยเขาย้ายไปเล่นในดิวิชัน 1 กับทีมมิดเดิลส์เบรอ

ฤดูกาลแรกของเขากับมิดเดิลส์เบรอ ภายใต้การคุมทีมของไบรอัน ร็อบสัน อดีตกัปตันทีมชาติอังกฤษ นับว่าประสบความสำเร็จเมื่อทีมได้แชมป์ดิวิชัน 1 (ลีกแชมเปียนชิปในปัจจุบัน) พร้อมกับได้สิทธิเลื่อนชั้นกลับไปเล่นพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง

แบล็กมอร์ได้เล่นพรีเมียร์ลีกกับทีมใหม่ของเขา แต่หนนี้ไม่ง่ายเหมือนเมื่อครั้งอยู่กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เมื่อในฤดูกาล1995-1996 ทีมของเขาแพ้ไปถึง 17 นัดและโดนยิงไป 50 ลูก ก่อนจบฤดูกาลด้วยอันดับ 12

ฤดูกาล 1996-1997 มิดเดิลส์เบรอเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศเอฟเอคัพ แต่ต้องแพ้เชลซีในนัดชิงชนะเลิศอย่างเจ็บแสบ ทำให้ได้เพียงตำแหน่งรองแชมป์ซ้ำร้ายผลงานในลีกยังย่ำแย่ เมื่อทีมแพ้ถึง 16 นัด และโดนยิงถึง 60 ลูก และมีอันต้องตกชั้นเมื่อจบฤดูกาลโดยรั้งตำแหน่งรองบ๊วย

หลังทีมตกชั้น ไบรอัน ร็อบสัน ใช้เวลาเพียงแค่ปีเดียวก็นำมิดเดิลส์เบรอ กลับมาอยู่บนลีกสูงสุดอีกครั้งเมื่อคว้าแชมป์ดิวิชัน 1 ในฤดูกาล 1997-1998

ด้วยวัยที่มากขึ้นทำให้เขาถูกลดบทบาทลงเป็นตัวสำรองบ่อยครั้งและตัดสินใจย้ายลงไปเล่นในดิวิชัน 1 กับบาร์นสลีย์ ในช่วงสั้น ๆ จากนั้นก็ย้ายลงไปเล่นในดิวิชัน 2 ให้กับนอตส์เคาน์ตี ในฤดูกาล 1999-2000

ปลายชีวิตค้าแข้งในเวลส์

หลังหมดสัญญากับนอตส์เคาน์ตี แบล็กมอร์ย้ายไปเล่นบอลถ้วยกับทีมลี ซึ่งเป็นทีมสมัครเล่น 1 นัด จากนั้นจึงกลับไปเล่นฟุตบอลในเวลส์โดยย้ายไปร่วมทีมแบงเกอร์ซิตีในเดือนกุมภาพันธ์ 2001 และอีก 4 เดือนต่อมา ปีเตอร์ ดาเวนพอร์ต อดีตเพื่อนร่วมทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดของเขาก็ย้ายมาเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่

ไฟล์:Blackmoreport.jpgในบทบาทผู้เล่น-ผู้จัดการทีมพอร์ทแมด็อก

หลังจากลงสนามในลีกให้แบงเกอร์ซิตีมากกว่า 150 นัด รวมทั้งการเล่นในยูฟ่าคัพ และอินเตอร์โตโต้คัพ เคลย์ตัน แบล็กมอร์ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมต่อจากปีเตอร์ ดาร์เวนพอร์ทในเดือนมกราคม 2006 แต่ภายหลังได้ลาออกในเดือนพฤศจิกายนหลังทีมแพ้ในบอลถ้วยต่อพอร์ทแมด็อก แบล็กมอร์ยังคงต้องการอยู่กับแบงเกอร์ซิตีต่อไปในฐานะผู้เล่น แต่การมาถึงของผู้จัดการทีมคนใหม่ทำให้เขาถูกปล่อยให้พอร์ทแมด็อกในเดือนดังกล่าว โดยเขาลงสนามให้แบงเกอร์ซิตีรวมทุกรายการถึง 186 นัด

สโมสรพอร์ทแมด็อกดึงตัว แบล็กมอร์มาในฐานะผู้เล่นตอนสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2006 และควบตำแหน่งผู้จัดการในเดือนพฤษภาคม 2007 แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ถูกปลดจากตำแหน่งผู้เล่น-ผู้จัดการในฤดูกาล 2007-2008

วันที่ 1 มกราคม 2008 เคลย์ตัน แบล็กมอร์ตัดสินใจย้ายไปเล่นให้กับเมืองที่เขาเกิด เมื่อตัดสินใจเข้าร่วมทีมนีทแอทเลติก และประเดิมสนามให้ทีมบ้านเกิดในวันที่ 5 มกราคม 2008 ในเกมส์พบสโมสรคาร์มาเทนทาวน์ ซึ่งฤดูกาลนั้นเขาลงสนามให้นีทแอทเลติกทั้งหมด 7 นัด โดยเป็นตัวจริง 4 นัด และสำรองอีก 3 นัด โดยสโมสรนีทจบฤดูกาลด้วยอันดับ 7

ผลงาน